About me

รูปภาพของฉัน
ชื่อนายอัสมี เจ๊ะแต เป็นคนจังหวัดปัตตานี คติประจำใจ "เรียนไม่จบ แต่ทำงานให้เก่ง"

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

OpenBSD

OpenBSD (โอเพ่นบีเอสดี) เป็นระบบปฏิบัติการแบบเหมือนยูนิกซ์ (Unix-like) ที่สืบทอดมาจาก BSD แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์. แท้จริงแล้ว OpenBSD นั้นแตกแขนงออกมาจากสายการพัฒนา NetBSD (ระบบปฏิบัติการเสรีอีกตัวหนึ่งซึ่งใช้ BSD เป็นพื้นฐาน) ริเริ่มในปี (พ.ศ. 2537) โดย Theo de Raadt เป็นหัวหน้าโปรเจกต์ และโปรเจกต์ OpenBSD เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความแน่วแน่ของนักพัฒนาเกี่ยวกับเรื่องโอเพ่นซอร์สและการทำเอกสารเปิดเผย (open documentation) , การไม่ยอมประนีประนอมในเรื่องลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์. จุดเด่นที่สำคัญของ OpenBSD คือเรื่องความปลอดภัย และความถูกต้องของซอร์สโค้ด. โปรเจกต์มีโลโก้และมาสคอตเป็นปลาปักเป้าชื่อพัฟฟี่.

OpenBSD รวมจำนวนของลักษณะเฉพาะของความปลอดภัย ที่ขาดแคลนหรือมีอยู่บ้างในระบบปฏิบัติการอื่นๆ และ มีการสืบต่อกันมาของผู้พัฒนา ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ source code สำหรับ จุดบกพร่องของ software และ ปัญหาความปลอดภัย โปรเจกต์นี้รักษานโยบายที่เข้มงวดด้านสิทธิการดำเนินการ และ เสนอ open source BSD licence และตัวแปรของมัน เมื่อก่อน มันนำไปสู่การตรวจสอบการอนุมัติที่เข้าใจได้กว้าง และ ก้าวไปสู่ การ กำจัดหรือแทนที่ code ภายใต้ การอนุมัติที่พบว่ายอมรับได้น้อยกว่า

เหมือนกับ BSDส่วนใหญ่ บนระบบปฏิบัติการ โปรแกรม OpenBSD kernel และ userland อย่างเช่น เชลล์ และ เครื่องมือทั่วๆไป เช่น cat และ ps ถูกพัฒนาไปด้วยกันใน ที่เก็บsourceอย่างเดียว softwareอีกตัว หาได้ง่ายกับ binary packages หรือ อาจถูกสร้างจาก source โดยใช้ ports collection

ปัจจุบัน โปรเจกต์ OpenBSD รักษา ports สำหรับ 17 hardware platforms ที่แตกต่างกัน ประกอบไปด้วย DEC Alpha, Intel i386, Hewlett-Packard PA-RISC, AMD AMD64 และ Motorola 68000 processors, Apple's PowerPC machines, Sun SPARC และ SPARC64-based computers, VAX และ Sharp Zaurus

ประวัติและความนิยม

ธันวาคม 2537 NetBSD ผู้ค้นพบร่วมกัน Theo de Raadt ถูกขอให้ ลาออกจากตำแหน่ง ผู้พัฒนาอาวุโส และ สมาชิกทีมหลัก ของ NetBSD และ การเข้าสู่ ที่เก็บsource code ถูกยกเลิก เหตุผลไม่ชัดเจนนัก แม้ว่า มีการอ้างว่าเป็นเพราะความขัดแย้งส่วนตัว ภายใน NetBSD project และ ชื่อที่อยู่ของมัน De Raadt ถูกวิจารณ์ ที่บางครั้ง มีนิสัยที่หยาบคายและน่ารำคาญ ในหนังสือของเค้า Free For All Peter Wayner อ้างว่า De Raadt "เริ่มสร้างความลำบากใจแก่คนอื่น" ก่อนการแยกตัวออกจาก NetBSD Linus Torvalds ได้อธิบายตัวเขาว่า "ยาก" และผู้สัมภาษณ์เริ่มหวั่นกลัวก่อนที่จะพบกับเขา หลายคนมีความรู้สึกแตกต่างกัน ผู้สัมภาษณ์คนเดิมอธิบาย การเปลี่ยนแปลงของ De Raadt ในการค้นพบ OpenBSD และ แรงดลใจที่จะดูแลทีมของเขา บางคนพบว่า การตรงไปตรงมาของเขา เริ่มขึ้น และ บางคนปฏิเสธว่า เขาเป็นผู้สร้างcode ที่มีพรสวรรค์

ตุลาคม 2538 De Raadt ค้นพบ OpenBSD โปรเจกต์ใหม่ที่แยกมาจาก NetBSD 1.0, OpenBSD 1.2 ฉบับเริ่มต้น ถูกสร้างขึ้นใน เดือนกรกฎาคม 2539 ตามด้วย 2.0 เดือนตุลาคมในปีเดียวกัน ตั้งแต่นั้นมา โปรเจกต์ ออกฉบับใหม่ทุกๆ6เดือน แต่ละเดือน ถูกดูแลและสนับสนุน เป็นเวลา 1ปี ฉบับล่าสุด 4.1 ของวันที่ 1 พฏษภาคม 2550 ยากที่จะสืบค้นว่า OpenBSD ถูกใช้อย่างกว้างขวางมากแค่ไหน ผู้พัฒนาไม่ได้รวบรวมและตีพิมพ์สถิติการใช้งาน และ มีแหล่งข้อมูลน้อย ในเดือนกันยายน 2548 Nascent BSD Certification Project สำรวจการใช้งานพบว่า 32.8%ของผู้ใช้ (1430 จาก 4330) ใช้ OpenBSD รองจาก FreeBSD ที่ใช้ถึง 77% และน้ำหน้า NetBSD ที่ใช้แค่ 16.3% DistroWatch website เป็นที่รู้จักกันใน ชุมชนLinux และ ถูกใช้บ่อยๆในการอ้างอิงความนิยม มันแสดงการวางจำหน่ายแต่ละหน้าของ Linux และ ระบบปฏิบัติการอื่นๆที่มันครอบคลุม วันที่ 14 เมษายน 2550 OpenBSD วางจำหน่าย เป็นครั้งที่55 ได้ 121 ครั้งต่อวัน FreeBSD วางจำหน่ายเป็นครั้งที่ 16 ได้ 478 ครั้งต่อวัน จำนวนของ การจำหน่าย Linux จัดอันดับอยู่ระหว่างทั้งคู่

เปิด source และ เปิดเอกสารประกอบ

เมื่อ OpenBSD ถูกสร้าง Theo de Raadt ตัดสินใจว่า ทุกคนสามารถหา source มาอ่านได้ง่ายเมื่อไหร่ก็ได้ ดังนั้น ผู้ช่วยของ Chuch Cranor เปิดเผยผ่าน CVS server โดยไม่ประสงค์จะออกนาม นี่เป็นครั้งแรกของรูปแบบของมันใน การพัฒนา software ของโลก ตอนนั้น การสืบทอดเป็นเพียงแค่ ทีมเล็กๆของผู้พัฒนา ที่จะมีสิทธิเข้าสู้ที่เก็บ source ของโปรเจกต์ วิธีนี้ มีข้อเสีย โดยเฉพาะ ผู้ช่วยเหลือภายนอก ไม่มีทางที่จะติดตาม การพัฒนาของโปรเจกต์อย่างใกล้ชิด และ งานที่ได้รับการช่วยเหลือจะซ้ำซ้อนกับ งานที่พยายามทำจนสำเร็จไปแล้ว การตัดสินใจครั้งนี้ นำไปสู้ชื่อ OpenBSD และ เปิดเผยโปรเจกต์ออกสู้สาธารณชนให้สามารถเข้าถึงทั้ง source code และ เอกสารประกอบ

เหตุการณ์ที่เปิดเผยนี้ พิจารณาการเปิดเอกสารประกอบที่เกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2548 เมื่อ De Raadt ทิ้งข้อความแก่ openbsd-misc รายชื่อและที่อยู่ เขาประกาศว่า หลังจาก 4เดือนของการถกเถียง Adaptec

-------------------------------------------------------------------------------------------------

โฮมเพจโครงการ OpenBSD


NetBSD

NetBSD (เน็ตบีเอสดี) คือระบบปฏิบัติการแบบเหมือนยูนิกซ์ (Unix-like) โดยสืบทอดมาจาก BSD โดย NetBSD เป็นซอฟต์แวร์เสรี โดยเป็นระบบปฏิบัติการตัวที่สองในตระกูล BSD ที่เปิดเผยซอร์สโค้ดสู่สาธารณะ (หลังจาก 386BSD) และพัฒนายังคงต่อเนื่องเรื่อยมา

จุดเด่นที่สำคัญของ NetBSD คือ สามารถรันได้บนแพลทฟอร์มจำนวนมาก และการออกแบบระบบที่ดี NetBSD จึงถูกนำไปใช้กับระบบฝังตัว (embedded systems) นอกจากนี้มันยังเป็นจุดเริ่มต้นในการพอร์ตระบบปฏิบัติการอื่นไปสู่สถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์แบบใหม่อีกด้วย

ประวัติ

NetBSD เป็นโครงการพี่น้องกับ FreeBSD ซึ่งทั้งคู่สืบทอดมาจาก California Berkeley’s 4.3 BSD ต้นฉบับที่มี 2 รุ่นย่อยคือ Network/2 และ 386BSD โดยมีที่มาจากปัญหาภายในกลุ่มนักพัฒนาของ 386BSD ที่มีความเห็นไม่ลงรอยกันในเรื่องทิศทางการพัฒนาในอนาคต นักพัฒนาผู้ก่อตั้ง 386BSD จำนวน 4 คน ได้แก่ Chirs Demetriou, Theo de Raadt, Adam Glass และ Charles Hannum มีความเห็นว่าวิธีการพัฒนาแบบเปิดจะส่งผลดีต่อโครงการมากกว่า โดยมีเป้าหมายในการสร้างระบบปฏิบัติการแบบ BSD ที่มีคุณภาพในระดับใช้งานได้จริง และสนับสนุนแพลทฟอร์มจำนวนมาก

Raadt ได้เสนอให้ใช้ชื่อ "NetBSD" โดยเน้นคำว่า "Net" เนื่องจากความสำคัญของระบบเครือข่ายที่มีผลต่อการพัฒนาตัวซอฟต์แวร์ ชื่อนี้ได้รับการยอมรับจากผู้ก่อตั้งคนอื่นๆ

ตัวคลังต้นฉบับซอร์สโปรแกรม (source code repository) ได้ถูกพัฒนาขึ้นเมื่อ เดือน วันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1993 และ NetBSD 0.8 ซึ่งเป็นผลที่ได้จากการพัฒนาเป็นรุ่นแรกได้ออกเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1993 โดยแยกสายการพัฒนาออกมาจาก 386BSD 0.1 ที่รวมกับโปรแกรมบางตัวจาก Network/2

ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน โครงการได้ออก NetBSD รุ่น 0.9 ที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น เพียงแต่รุ่นนี้ยังสนับสนุนสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์แบบพีซีเท่านั้น ถึงแม้ว่าจะเริ่มพัฒนาส่วนการสนับสนุนแพลตฟอร์มอื่นๆ ไปแล้วก็ตาม

NetBSD 1.0 ได้ออกมาในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1994 โดยเป็นรุ่นแรกที่สนับสนุนการทำงานในหลายแพลตฟอร์ม เช่น พีซี, HP 9000, Series300, Amiga, 68k, แมคอินทอช, เครื่องในตระกูล Sun-4c และ PC532 ในรุ่นนี้ยังแก้ปัญหาทางกฎหมายในการเอาโปรแกรมของ Net/2 มาใช้ โดยการใช้โปรแกรมจากโครงการ 4.4BSD-lite แทน

ในปี 1994 ได้มีเกิดความโต้เถียงอีกครั้งระหว่างผู้ก่อตั้ง ส่งผลให้ Theo de Raadt ได้แยกตัวออกมา ภายหลังเขาได้เป็นผู้ก่อตั้งโครงการใหม่ OpenBSD โดยนำเอาโค้ดของ NetBSD 1.0 ณ ช่วงใกล้สิ้นปี 1995 มาพัฒนาต่อ

NetBSD 1.x ได้ถูกปล่อยออกมาเป็นระยะ ฟีเตอร์ที่เพิ่มเข้ามาใน NetBSD 1.3 คือ ตัวจัดการกับแพคเกจ pkgsrc ในปี 1999 NetBSD เวอร์ชัน 1.4 แบบไบนารีสนับสนุนแพลตฟอร์มเพิ่มเป็น 14 ชนิด และมากกว่านั้นในกรณีที่สนับสนุนเฉพาะซอร์สโค้ด

ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2004 NetBSD ออกรุ่น 2.0 การเปลี่ยนแปลงสำคัญคือสนับสนุนระบบเธร็ด (thread) ในทุกแพลตฟอร์มผ่าน Scheduler Activations และสนับสนุนการทำงานแบบหลายซีพียู (SMP) ในบางสถาปัตยกรรม เวอร์ชัน 2.0 เพิ่มการสนับสนุนระบบขึ้นมาเป็น 40 ชนิดในกรณีที่เป็นไบนารี และเพิ่มอีก 6 ชนิดถ้าเป็นซอร์สโค้ด

หลังจากเวอร์ชัน 2.0 เป็นต้นมา NetBSD รุ่นหลักจะใช้หมายเลข major ที่เพิ่มขึ้น (เช่น 2.0, 3.0, 4.0) ในขณะที่เลข minor จะเป็นการบ่งชี้การปรับปรุงของรุ่นเสถียร ในปัญหาความปลอดภัยหรือปัญหาอื่นๆ

ปัจจุบัน NetBDS เวอร์ชันล่าสุดคือ 3.1 (ข้อมูลเดือนกุมภาพันธ์ 2007)

ชาลส์ ดาร์วิน


ชาลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) (12 ก.พ. 2351 – 19 เม.ย. 2425) เป็นนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ผู้ทำการปฏิวัติความเชื่อเดิม ๆ เกี่ยวกับที่มาของสิ่งมีชีวิต และเสนอทฤษฎีซึ่งเป็นทั้งรากฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการสมัยใหม่ และหลักการพื้นฐานของกลไกการคัดเลือกโดยธรรมชาติ. เขาตีพิมพ์ข้อเสนอของเขาในปี พ.ศ. 2402 (ค.ศ. 1859) ในหนังสือชื่อ "The Origin of Species" (กำเนิดของสรรพชีวิต), ซึ่งเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขา. การเดินทางออกไปยังท้องทะเลทั่วโลกกับเรือบีเกิล (HMS Beagle) และโดยเฉพาะการเฝ้าสำรวจที่หมู่เกาะกาลาปากอส เป็นทั้งแรงบันดาลใจ และให้ข้อมูลจำนวนมาก ซึ่งเขานำมาใช้ในทฤษฎีของเขา


ประวัติ

ดาร์วินเกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1809 ที่เมืองชรูเบอรี่ (Shrubbvery) ชรอพไชร์ (Shrophire) ประเทศอังกฤษ (England) ในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยและมีชื่อเสียงครอบครัวหนึ่งของอังกฤษ บิดาของดาร์วินเป็นนายแพทย์ชื่อว่า โรเบิร์ต วอริง ดาร์วิน (Robert Waring Darwin) บิดาของดาร์วินต้องการให้เขาศึกษาวิชาแพทย์ เพื่อเป็นแพทย์ แต่ดาร์วินไม่สนใจการศึกษาไม่ว่าจะวิชาอะไร เขามักใช้เวลาส่วนใหญ่กับการเที่ยวเล่นยิงนก ตกปลาไล่จับแมลงชนิด ต่าง ๆ และใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ บิดาจึงบังคับให้ดาร์วินเรียนวิชาแพทย์ ถึงแม้ว่าดาร์วินจะไม่ต้องการแต่บิดาของเขาก็ยังบังคับให้ดาร์วินเรียนแพทย์ จนได้ ขณะเดียวกันดาร์วินก็ยังคงศึกษาวิชาต่าง ๆ ที่เขาสนใจต่ออีก 1 ปี

ทางราชนาวีอังกฤษมีโครงการจะออกเดินทางสำรวจสภาพภูมิประเทศ บริเวณชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้และมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งยังไม่มีผู้ใดเคยทำการสำรวจมาก่อน โดยจะใช้เรือหลวงบีเกิ้ล (H.M.S.Beagle) เป็นเรือที่ใช้ในการเดินทางสำรวจ พร้อมกับกับกัปตันวิทซ์รอย (Captain Witzroy) เป็นผู้บังคับการเรือ กัปตันวิทซ์รอยต้องการนักธรรมชาติวิทยาเดินทางไปกับคณะสำรวจครั้งนี้ด้วย กัปตันได้ประกาศรับอาสาสมัครอยู่เป็นเวลานาน แต่ไม่มีผู้ใดสนใจการเดินทางไปกับเรือลำนี้จะต้องออกค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ครั้งนี้เองทั้งหมด กัปตันจึงเดินทางไปพบกับศาสตราจารย์เฮนสโลว์ เพื่อขอร้องให้ช่วยหา และศาสตราจารย์เฮนสโลว์จึงนำข่าวนี้มาบอกแก่ดาร์วิน และรับอาสาออกสำรวจดินแดน ทั้งเขาต้องขอค่าใช้จ่ายในการเดินทางในครั้งนี้อีกด้วย แต่พ่อเขาจึงไม่อนุญาตให้เดินทาง ด้วยความเป็นห่วง เขาจึงเดินทางไปหาโจเซียร์ เวดจ์วูด (Josiah Wedgwood) ลุงของเขาจึงไปพูดขอร้องแทนกับพ่อของดาร์วิน ในที่สุดพ่อเขาก็อนุญาตให้ดาร์วินออกเดินทางไปกับเรือหลวงบีเกิ้ลได้

เรือหลวงบีเกิ้ลออกเดินทางจากท่าเรือเมืองดาเวนพอร์ต (Davenport Harbor) เมืองพลายเมาท์ (Plymount) ประเทศอังกฤษในวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1831 โดยแล่นเข้ามหาสมุทรแอตแลนติกเลียบไปตามชายฝั่งทางทิศตะวันตกของทวีปแอฟริกาโดยเข้าสู่หมู่เกาะคานาร์ ต่อจากนั้นจึงข้างฝั่งไปยังทวีปอเมริกาใต้เข้าสู่ประเทศบราวิลที่เมืองเรซิเฟ(Recife) ซัลวาดอร์( Salavdor) และริโอเดอ จาเนโร ( Rio de Janeiro) เพื่อสำรวจลุ่มแม่น้ำอะเมซอน ( Amazon) ต่อจากนั้นก็เข้าสู่ประเทศต่าง ๆ ในทวีปอเมริกาใต้โดยแล่นอ้มไปทางแหลมฮอร์น (Cape Horn) เพื่อเข้าสู่มหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ เข้าสำรวจประเทศซิลี ( Chile) เมืองวาลปาเรส (Valparais) เรือบีเกิ้ลแล่นเรียบชายฝั่งไปจนถึงประเทศเปรู ซึ่งระหว่างทางเรือได้แวะตามเกาะต่าง ๆ มาโดยตลอด เมื่อสำรวจประเทศเปรูเสร็จ เรือบีเกิ้ลออกเดินทางไปยังเกาะตาฮิติ (Tahiti Island) ต่อจากนั้นก็เดินทางสำรวจต่อไปยังตะวันออกของทวีปอเมริกาใต้ เข้าสู่ประเทศนิวซีแลนด์ (New Zealand) ต่อจากนั้นก็เข้าสู่เกาะแทสมาเนีย (Tasmania Island) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะออสเตรเลีย และเข้าสำรวจประเทศออสเตรเลียในเวลาต่อมา หลังจากเรือได้เดินทางเพื่อเข้าสู่มหาสมุทรอินเดีย ผ่านเกาะสุมาตราและชวา เข้าสู่แหลมมะละกา (Malaga Cape) จากนั้นจึงเข้าสู่เกาะมอริเทียส (Mauritius Island) ซึ่งตั้งอยู่กลางมหาสมุทรอินเดีย และเดินทางต่อมาเรื่อย ๆ จนถึงเมืองปอร์ต หลุยส์ (Port Louis) ผ่านแหลมกูดโฮป (Cape of Good Hope) เข้าสู่เกาะเซนต์เฮเลนา (St. Helena) และเข้าสู่ประเทศบราซิลอีกครั้งหนึ่ง ที่เมืองเปอร์นัมบูโก ( Pernumbugo) ต่อจากนั้นเรือบีเกิ้ลได้เข้าจอดที่อ่าวเปอร์โต ปาร์ยา (PortoPraya) ในหมู่เกาะเคปเวิร์ด (Cape de Verd) และแวะที่เมืองอาโซส (Azores) เป็นแห่งสุดท้ายก่อนเข้าจอดเทียบท่าที่เมืองฟอลมัธ (Falmouth) เมืองท่าทางตอนใต้ของประเทศอังกฤษ ใช้เวลาในการเดินทางครั้งนี้ทั้งหมด 5 ปี โดยถึงประเทศอังกฤษในวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 1836

การเดินทางครั้งนี้ดาร์วินต้องเผชิญกับอาการเมาคลื่น และอาการเจ็บป่วยอยู่ตลอดเวลาเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในแต่ละวัน และสภาพอากาศที่แตกต่างไปจากที่ดาร์วินคุ้นเคย จากการเดินทางครั้งนี้เขามีโอกาสได้พบเห็นพิช สัตว์สภาพภูมิประเทศที่แปลกตา รวมถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันออกไป เช่น เมื่อเรือบีเกิ้ลเดินทางไปถึงหมู่เกาะเคปเวิร์ด และจอดที่ท่าเรือเมืองปราเวีย (Pravia)ดาร์วินได้พบกับพืชเขตร้อน ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เช่น กล้วยหอม ปาล์ม และต้นมะขาม เป็นต้น อีกทั้งเขายังได้เห็นหินสีขาวที่แข็งมาก และจากการวิเคราะห์ดาร์วินสรุปว่าหินสีขาวนี้เกิดจากซากหอย และปะการังจากทะเล ซึ่งต่อมาถูกลาวาไหล ลงมาทับอีกชั้นหนึ่ง ทำให้หินมีความเข็งมากเป็นพิเศษต่อจากนั้นได้เกิดการเปลี่ยนแปลงของผิวโลก ทำให้หินสีขาวดันขึ้นมาอยู่เหนือสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 45 ฟุต

เมื่อดาร์วินกลับบ้านเขาก็ยังหมกหมุ่นอยู่กับการศึกษาแยกหมวดหมู่ ให้กับซากพืช ซากสัตว์ ที่เขาเก็บมา และในปีเดียวกันได้ตีพิมพ์ผลงานของเขาออกมาเล่มหนึ่งชื่อว่า A Naturalist's Voyage Around the World เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งที่เขาพบเห็นมาตลอดระยะเวลา 5 ปี ในการเดินทางสำรวจโลกไปกับเรือบีเกิ้ล

หนังสือเล่มสุดท้ายก่อนที่ดาร์วินจะเสียชีวิตในวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1882 ศพของเขาถูกฝังอยู่ที่วิหารเวสเตอร์์ ผลงานหนังสือที่ตีพิมพ์ของดาร์วินเป็นผลงานที่มีประโยชน์อย่างมากทั้งทางชีววิทยา และมนุษยวิทยา โดยเฉพาะทฤษฎีวิวัฒนาการถือได้ว่าเป็นก้าวสำคัญในวงการชีววิทยา

ชาลส์ ดาร์วิน

โซลาริส

โซลาริส (Solaris) หรือในชื่อเต็ม The Solaris Operating Environment เป็นระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ แบบยูนิกซ์ ที่พัฒนาโดย ซัน ไมโครซิสเต็มส์

ระบบปฏิบัติการโซลาริส ใช้ได้กับสถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์สองแบบ คือ แบบ สปาร์ค และแบบ x86 (แบบเดียวกับในเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลทั่วไป)

รุ่นแรก ๆ ของโซลาริสนั้น ใช้ชื่อว่า ซันโอเอส (SunOS) โดยมีพื้นฐานมาจากยูนิกซ์ตระกูลบีเอสดี. แต่ต่อมาในรุ่นที่ 5 ได้เปลี่ยนมาใช้โค้ดของ ซิสเต็มส์ไฟว์ (System V) แทน และเปลี่ยนชื่อมาเป็น โซลาริส ดังเช่นในปัจจุบัน, โดยเรียกโซลาริสรุ่นแรกว่า โซลาริส 2 และเปลี่ยนชื่อเรียกของซันโอเอสรุ่นก่อน ๆ เป็น โซลาริส 1.x, และหลังจากโซลาริสรุ่น 2.6 ก็ได้ตัด "2." ข้างหน้าออกไป และเรียกเป็น โซลาริส 7 แทน

รุ่นปัจจุบัน (ก.ค. 2548) ของโซลาริสคือ โซลาริส 10.

การพัฒนาบางส่วนของโซลาริสในอนาคต ขณะนี้ได้พัฒนาในโครงการ โอเพนโซลาริส (OpenSolaris) ซึ่งเป็นโครงการระบบปฏิบัติการแบบโอเพนซอร์ส

ประวัติ

ในปี 1987, AT&T และ SUN ได้ประกาศให้บุคคลทั่วไปทราบว่าได้ร่วมกันทำโปรเจคที่มีความลงตัวและต่างจาก Unix อื่นๆ ออกมาจำหน่ายในเวลานั้นคือ BSD, System V, and Xenix กลายเป็นที่มาของ Unix System V Release 4 (SVR4). วันที่ 4 กันยายน 1991 SUN ได้ประกาศให้มันเข้ามาแทนที่ BSD-derived Unix, SunOS 4 ซึ่งเป็นพื้นฐานของ SVR4 ที่มีอยู่, เป็นเอกลักษณ์ที่อยู่ภายใน SunOS 5, แต่เปลี่ยนชื่อทางการตลาดว่า Solaris , ในขณะที่ SunOS 4.1.x micro เปลี่ยนชื่อเป็น Solaris 1 จาก SUN, ชื่อ Solaris เกือบจะผูกขาดใช่เรียกทั้ง SVR4-derived SunOS 5.0 ในเวลาต่อมา โดยให้รวบรวมไว้ใน overbrand ใหม่ ยกเว้น SunOS แต่เช่นเดียวกันกับ OpenWindows graphical user interface และ Open Network Computing (ONC) ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง SunOS เวอร์ชันรองลงมาได้ใช้พื้นฐานจาก Solaris และออกสู่ตลาดภายใต้ชื่อ Solaris 2.4, รวบรวมเป็น SunOS 5.4 หลัง Solaris 2.6,โดย SUN ได้วางให้เป็นหมายเลข 2.ไปเรื่อยๆ Solaris7 รวบรวมเป็น SunOS 5.7 จนถึง SunOS 5.10 จาก Solaris10.

สถาปัตยกรรมที่สนับสนุน

Solaris ใช้ร่วมกับ code base เช่น SPARC และ i86pc (ซึ่งรวมถึง x86 and x64) , Solaris มีชื่อเสียงพอสมควรใน symmetric multiprocessing, และ รองรับ CPU ได้อย่างมากมาย และการกำหนดการใช้งานอย่างเข้มงวดจากฮาร์ดแวร์ Sun's SPARC (รวมถึงสนับสนุนจาก 64-bit SPARC ตั้งแต่ Solaris7 ) ซึ่งทำเป็นแพ็กเกจร่วมกันออกวางตลาด เป็นระบบที่มีความน่าเชื่อถือ, แต่ราคาธรรมเนียมจะมากกว่าราคาสินค้าของฮาร์ดแวร์ PC, อย่างไรก็ตามมันสนับสนุนระบบ x86 ตั้งแต่ Solaris 2.4 จนถึงเวอร์ชันล่าสุด Solaris10 รวมถึงสนับสนุนจาก 64-bit x86 แอฟฟิเคชั่น Solaris7 , SUN ยอมให้ CPU 64- bit เป็นสถาปัตยกรรมจาก x86 64, SUN ได้ประโยชน์จาก Solaris อย่างมากจากผู้ใช้ซึ่งเป็นเจ้าของ x64 ซึ่งเป็นพื้นฐานของ AMD Opteron and Intel Xeon รวมทั้งระบบ x86 ที่โรงงานผลิตของ Dell, Hewlett-Packard, and IBM. ในปี 2007 ผู้ขายทั้งหลายดังที่กล่าวมาได้สนับสนุน Solaris สำหรับระบบเครื่องแม่ข่าย x86

-Dell ได้ทดสอบและยอมรับว่าเหมาะสมและกลายเป็นสิ่งหนึ่งที่ปรากฏบนเมนูของ Dell

-IBM ยังเลือก Solaris x86 เป็นระบบพื้นฐานของระบบเครื่องแม่ข่าย

-Intel

-Hewlett Packard

รูปแบบอื่นๆ

Solaris 2.5.1 สนับสนุนรูปแบบ Power PC แต่ Port ถูกยกเลิกใช้เดือนตุลาคม 2006และ OpenSolaris เริ่ม Project เพื่อทำการสร้าง Port Power PC Port Solaris ที่สถาปัตยกรรมมี Intel Itanium สร้างขึ้นถูกประกาศในปี 1997 แต่ไม่เคยนำมาออกวางตลาด ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2007, IBM, SUN และ สมาคม Sine Nomine แสดงพอร์ตที่พื้นฐาน OpenSolaris ของ Solaris ที่รันบนระบบIBMzเมนเฟรมใต้z/ VM Solaris สนับสนุนรูปแบบลีนุกซ์ABI,อีกด้วย ยอมให้ Solaris รันไบนารีของลีนุกซ์บนระบบx86 สามารถเรียก Solaris สำหรับลีนุกซ์ หรือ SCLA, บนพื้นฐานของ branded zones

ภาพรวมของเดสค์ทอป

Solarisรุ่นล่าสุดที่ใช้ OpenWindows เป็นเดสค์ทอป ใน Solaris ที่ 2.0 ถึง2.2, OpenWindows ที่สนับสนุนทั้งข่าว และ applications, และภายใต้เงื่อนไข backward compatibility สำหรับ SunView จากdesktop environment. SUN ได้สนับสนุนข่าวและ SunView applications: OpenWindows 3. 3 (ซึ่งติดมาด้วยกับ Solaris 2.3 ) คือพอร์ตของ X11 สมาชิกของCOSE, เป็น Open Software ที่เกี่ยวกับการริเริ่มที่ SUN พัฒนาจาก Desktop ธรรมดา CDE มาเป็น Unix desktop ผู้ขายแต่ละอันจะสนับสนุนส่วนประกอบแตกต่างกันโดย Hewlett- Packard จะจัดการส่วน window manager, IBMจัดการส่วน file manager Sun จะจัดการส่วน e- mail และปฏิทินและสนับสนุนการลากและวาง ( ToolTalk ). Solaris 2.5 สนับสนุนCDE,และ OpenWindows ถูกวางบน Solaris 9 Solaris 98/ 03 ยังแนะนำ GNOME 2.0 เป็นทางเลือกของCDE Solaris 10 สนับสนุนระบบเดสค์ทอปภาษาจาวา (Java Desktop System ) ,สิ่งซึ่งอาศัยพื้นฐานบน GNOME และที่มา กับ applicationsรวมถึงStarOffice SUN บรรยาย JDSว่าเป็น"ส่วนประกอบหลัก"ของ Solaris 10 .

ใบอนุญาต

Solaris ซอสโค้ด ( กับข้อยกเว้นเล็กน้อย) ถูกปล่อยภายใต้ Common Development and Distribution License (CDDL) ผ่านทางProject OpenSolaris. CDDL คือ OSI ที่ยืนยันด้วยใบอนุญาต. มันถูกคิดโดยมูลนิธิฟรีซอฟแวร์แต่เข้ากันไม่ได้กับ GPL OpenSolaris เปิดตัวเมื่อ14 มิถุนายน 2005, ต่อมา Solaris ได้พัฒนาโค๊ดพื้นฐานจนถึงปัจจุบันทั้ง ไบนารีและ license สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี

เวอร์ชัน

ความสามรถที่โดดเด่นของ Solaris ประกอบไปด้วย DTrace, Doors, Service Management Facility, Solaris Containers, Solaris Multiplexed I/O, Solaris Volume Manager, ZFS, and Solaris Trusted Extensions.เวอร์ชันต่าง ๆ มีดังต่อไปนี้

Solaris version SunOS version Release date Major New Features
Solaris 10 SunOS 5.10 31January 2005 ส่วนที่สนับสนุนประกอบด้วยx64 (AMD64/EM64T) , DTrace (Dynamic Tracing) , Solaris Containers, Service Management Facility (SMF) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสคริป, NFSv4. Least privilege เป็นโมเดลรักษาความปลอดภัย. สนับสนุน sun4m และ UltraSPARC. สนับสนุนเอา EISA-based PCs removed ออก. เพิ่ม Java Desktop System (บนพื้นฐาน GNOME) default desktop.

•Solaris 10 1/06 เพิ่ม GRUB bootloader สำหรับระบบx86 และสนับสนุน iSCSI.

•Solaris 10 6/06 เพิ่ม filesystem ZFS.

•Solaris 10 11/06 เพิ่มชนิด Solaris และLogical Domains.

Solaris 10 8/07 เพิ่ม Samba ที่สนับสนุนการแอคทีฟของไดเรคทอรี,ตัวอย่างIP , สนับสนุนเป้าหมายของiSCSI และเก็บข้อมูล Solaris สำหรับ Linux Applications (บนพื้นฐาน branded zones).

Solaris 9 SunOS 5.9 28พฤษภาคม 2002 (SPARC)

10 มกราคม 2003 (x86)

ใช้iPlanet เป็นไดเรคทอรีเครื่อง Server, จัดการทรัพยากร, Solaris Volume Manager, ขยายลักษณะไฟล์, IKE IPsec, และเพิ่มความเข้ากันได้ของ Linux; ทั้งการวางOpenWindows, เอา sun4dออก. จะอัปเดตให้ Solaris 9 9/05เป็นปัจจุบัน.
Solaris 8 SunOS 5.8 กุมภาพันธ์ 2000 รวบรวม Multipath I/O, IPMP, สนับสนุน IPv6 และIPsec (แมนนวลทั้งหมด) เป็นครั้งแรก, ใช้โมดูล mdb ในการแก้ไข. แนะนำ Role-Based Access Control (RBAC) ; ยกเลิกสนับสนุน sun4c. อัปเดตล่าสุดใน Solaris 8 2/04.
Solaris 7 SunOS 5.7 พฤศจิกายน 1998 ออก 64-bit UltraSPARC เป็นรุ่นแรก. เพิ่มการสนับสนุน file system meta-data logging (UFS logging).

วาง MCA สนับสนุนบนรูปแบบ x86 . อัปเดตล่าสุดใน Solaris 7 11/99.

Solaris 2.6 SunOS 5.6 กรกฎาคม 1997 รวบรวม Kerberos 5, PAM, ตัวอักษรTrueType , WebNFS, สนับสนุนไฟล์ที่มีขนาดใหญ่ เพิ่ม procfs.

สนับสนุน SPARCserver 600MP

Solaris 2.5.1 SunOS 5.5.1 พฤษภาคม 1996 สนับสนุนเฉพาะรูปแบบ PowerPC เท่านั้น; เพิ่มการสนับสนุนUltra Enterprise; user และ group IDs (uid_t, gid_t) ขยายเป็น 32 bits, ยังรวมถึงการเซทโปรเซสเซอร์ และสนับสนุนทรัพยากรเทคโนโลยีตั้งแต่เนิ่นๆ
Solaris 2.5 SunOS 5.5 พฤศจิกายน 1995 สนับสนุน UltraSPARC เป็นครั้งแรก และรวมไปถึง CDE, NFSv3 และ NFS/TCP. สนับสนุน sun4 (VMEbus) .

POSIX.1c-1995 เพิ่ม pthreads . เพิ่มทางเข้าแต่ไม่เพิ่ม document

Solaris 2.4 SunOS 5.4 พฤศจิกายน 1994 ออกวาง SPARC/x86 เป็นครั้งแรก. รวมถึงสนับสนุน runtime OSF/Motif.
Solaris 2.3 SunOS 5.3 พฤศจิกายน 1993 SPARC-only release. OpenWindows 3.3 เปลี่ยนจาก NeWS เป็น Display PostScript และสนับสนุนSunView

สนับสนุนและเพิ่มสำหรับ autofs และ cachefs filesystems.

Solaris 2.2 SunOS 5.2 พฤษภาคม 1993 ออกวางเฉพาะ SPARC เท่านั้น. สนับสนุนสถาปัตยกรรม sun4d เป็นครั้งแรก. สนับสนุน multithreading libraries

(UI threads API in libthread)

Solaris 2.1 SunOS 5.1 ธันวาคม 1992 (SPARC)

พฤษภาคม 1993 (x86)

สนับสนุน sun4 และเพิ่มสถาปัตยกรรม sun4m; ออกวางSolaris x86 เป็นครั้งแรก. Solaris 2 สนับสนุน SMP เป็นครั้งแรก.
Solaris 2.0 SunOS 5.0 มิถุนายน 1992 ออกวางตลาดครั้งแรก, สนับสนุนสถาปัตยกรรม sun4c เท่านั้น. NIS+ ปรากฏตัวป็นครั้งแรก.
Solaris 1.x SunOS 4.1.x 1991 - 1994 SunOS 4 เปลี่ยนเป็น Solaris 1 สำหรับออกวางตลาด.

การพัฒนา

Solaris ที่อยู่ภายใต้ Code Base ได้มีการพัฒนาต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 1980 ได้นำเสนอ Solaris 2.0 จนกระทั่งถึง Solaris 10 ได้พัฒนาโดยการ “train” ซึ่งพัฒนาในแต่ละช่วงเวลาของมัน สืบทอดมาจากโปรเจคแต่ละโปรเจคและได้ปรับปรุงเป็นเวลาหลายปีจนกระทั่งรุ่นล่า สุดที่ออกมา

เวอร์ชันของ Solaris ภายใต้การพัฒนาของ SUN ก็คือ codenamed Nevada, ในปี 2003 การเพิ่มกระบวนการพัฒนาของ Solaris ถูกแนะนำภายใต้ชื่อ Solaris Express Developer Edition ( SXDE) , การพัฒนาที่ได้จาก “train” ถูกนำมามาให้ดาวน์โหลดและตีพิมพ์ทุกๆ 3 เดือนและยอมให้บุคคลทั่วไปทดสอบความสามารถและคุณภาพและความเสถียรต่อระบบ ปฏิบัติการเช่นเดียวกับความก้าวหน้าของ Solaris รุ่นถัดไป

ในปี 2007 SUN ได้ประกาศความเป็นหนึ่งของ Project Indiana รวมถึงการ open source binary ของ OpenSolaris เพื่อปรับปรุงการติดตั้ง Solaris อีกทั้งแจก packaging โมเดลและเทคโนโลยีเพื่อแทนที่รุ่น SXDE ซึ่งเป็นรุ่นแรก โดยวาแผนเป็นผู้นำในปี 2008 เพราะว่า Solaris ได้เปิดตัวล่วงหน้าสำหรับ Solaris codebase ให้เป็นโปรแกรมไบนารีเท่านั้น แต่ Solaris ได้แสดง Community Release สำหรับผู้พัฒนา OpenSolaris หลังจากนั้นสัปดาห์ต่อมามันก็จะถูกปรับปรุงไว้สำหรับประเมินผลถึงแม้ว่าการ ดาวน์โหลดจะถูกจำกัดการอนุญาตให้ดาวน์โหลดได้ส่วนบุคคลแต่ก็มีจุดประสงค์ เพื่อการศึกษาและประเมินผล

NetWare

NetWare เป็นระบบปฏิบัติการเครือข่ายที่พัฒนาโดย Novell และเป็นครั้งแรกที่ใช้ cooperative multitasking เพื่อให้บริการสิ่งต่างๆบนเครื่องคอมพิวเตอร์ และโปรโตคอลเครือข่ายที่เป็นพื้นฐานบนรูปแบบแรกเริ่มของ Xerox , XNS stack

NetWare อาจจะถูกแทนที่ด้วย Open Enterprise Server เวอร์ชันล่าสุดของ NetWare ก็คือ V.6.5 สนับสนุน Pack 7 ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับ OES 2 NetWare Kernel

ประวัติ

NetWare วิวัฒนาการมาจากความคิดที่ง่ายมากคือ การแชร์ไฟล์แทนที่การแชร์ดิสก์ ในปี 1983 เมื่อเวอร์ชันแรกของ Netware ได้ถูกออกแบบมา การแข่งขันของผลิตภัณฑ์อื่นๆทั้งหมด จะมีพื้นฐานบนความคิดที่ว่าการเตรียมการแชร์ดิสก์โดยการเข้าถึงโดยตรง อีกทางเลือกหนึ่งของ Novell ที่จะทำให้เข้าใกล้ความสำเร็จคือ ในปี 1984 โดย IBM ให้ความช่วยเหลือในการโฆษณาผลิตภัณฑ์ไปพร้อมกับผลิตภัณฑ์ของ IBM

กับ Novell NetWare แล้วที่ว่างบนดิสก์มีการแชร์อยู่ในรูปแบบของ NetWare ทั้งหมดเปรียบได้เท่ากันกับ DOS เครื่องลูกที่ทำงานบนระบบ MS-DOS จะทำงานเป็นแบบที่พิเศษคือแบบ Terminate and Stay Resident (TSR) โปรแกรมจะอนุญาตให้ TSR แมพกับ local drive และส่งไปยังระดับ NetWare เครื่องลูกจะมีการเข้าถึง server ในรายการที่มีการอนุญาตเพื่อการแมพและการสามารถมีการควบคุมซึ่งขึ้นอยู่กับ ชิ่อที่ทำการ login ในทำนองเดียวกัน NetWare ก็สามารถติดต่อกับการแชร์ปริ๊นเตอร์บน dedicated server และปริ๊นได้ถ้าเครื่องปริ๊นเตอร์มีการเชื่อมต่อแบบ local และการสร้าง NetWare มีอิทธิพลต่อสภาพทางการตลาดในยุคแรกๆและในกลางปี 1990 ด้วยการพัฒนา XNS-derived โปรโตคอล IPX/SPX ตามแบบ local area network (LAN) เป็นมาตรฐาน

ตอนท้ายปี 1990 ระบบอินเทอร์เน็ตมีการติดต่อกันอย่างรวดเร็ว โดยระบบอินเทอร์เน็ตจะใช้โปรโตคอล TCP/IP มาเป็นส่วนสำคัญของระบบ Novell มีการแนะนำถึงข้อจำกัดของโปรโตคอล TCP/IP ว่ามันจะสนับสนุนเพียง Netware v3.x ( รุ่นปี 1992 ) และ v4.x ( รุ่นปี 1995 ) แต่ NetWare ส่วนใหญ่จะใช้ได้กับโปรโตคอล FTP และ UNIX- style LPR/LPD printing ( เหมาะที่จะใช้ใน NetWare v3.x ) และ Novell ได้พัฒนา webserver ( ใน NetWare v4.x ) โดยทั่วไปโปรโตคอล TCP/IP จะสนับสนุนระบบไฟล์ของเครื่องลูกและการให้บริการพิมพ์แบบปกติ อันเกี่ยวเนื่องกับ Netware ซึ่งได้แนะนำไว้ใน Netware v5.0 ( ปล่อยออกมาในปี 1998 )


ในขณะที่คุณสมบัติบางประการของ Novell ก็ได้รับมาจาก TCP/IP ซึ่งเป็นโปรโตคอลพื้นฐานที่ใกล้สูญหายของ Netware มันเป็นการแน่นอนว่าการพูดถึง Novell ว่าอนุญาตให้ตัวมันเองเป็น outmarketed ช่วงเวลาในยุคแรกจนกระทั่งกลางปี 1980 บริษัท Microsoft ได้แนะนำพวกเขาให้มาเป็นเจ้าของระบบ LAN ใน LAN-Manager บนพื้นฐานการแข่งขันโปรโตคอล NBF ในยุคแรกได้พยายามถึงความแข็งแกร่งบน Netware ไม่ประสบผลสำเร็จ แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้รวบรวมการแก้ไขระบบเครือข่ายเพื่อให้สนับสนุน Windows for Workgroup และจากนั้น Windows NT , Windows 95 ก็ได้ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล โดย Windows NT มีจุดเด่นคือการเสนอการบริการมีความคล้ายคลึงกับการเสนอการบริการของ Netware แต่บนระบบเหล่านั้นยังสามารถใช้งานบนเดสก์ทอปได้ด้วย และการติดต่อโดยตรงถึง Windows desktop อื่นๆในที่ไหนๆ NBF ก็จะถูกใช้เป็นสากล

จุดเริ่มต้นของ Netware

ความนิยมของผู้ใช้และการเจริญเติบโตของ Novell NetWare เริ่มในปี 1985 ในขณะเดียว กันก็ได้ปล่อยผลิตภัณฑ์ของ NetWare 286 2.0a และโปรเซสเซอร์ Intel 80286 16-bit โดย CPU 80286 มีลักษณะเฉพาะในรูปแบบใหม่ก็คือ มี protection mode เป็น 16 บิต การเข้าถึง RAM 16 MB ตามวิธีการเพื่อสนับสนุน multi-tasking

ก่อนที่จะมาใช้ CPU 80286 เครื่อง server มีการใช้ Intel 8086/8088 8/16-bit เป็นพื้นฐานมาก่อนซึ่งโปรเซสเซอร์แบบนี้จะจำกัดพื้นที่ว่างของ Address คือใน 1 MB ให้ใช้งานได้ 640 KB หรือต่ำกว่า RAM ที่ใช้อยู่และมีความบกพร่องกว่าแบบ multi-tasking การรวมกันของ RAM 16 MB มีข้อจำกัด โปรเซสเซอร์ 80286 จะมีลักษณะเฉพาะในการใช้ประโยชน์และขนาด 256 MB เป็นขนาดที่จำกัดของ NetWare ที่มีการอนุญาตให้ใช้งานได้ cost-effective server- based ของพื้นที่เครือข่ายท้องถิ่นมีการสร้างขึ้นมาสำหรับช่วงเวลาแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง RAM 16 MB มีการจำกัดความสำคัญ หลักจากที่สร้าง RAM ตามความต้องการสำหรับความจำแคชของดิสก์เพื่อดำเนินการแก้ไขสิ่งที่สำคัญ ต่างๆ การกลับมาครั้งนี้เป็นกุญแจสู่การดำเนินการของ Novell ในขณะเดียวกันได้มีการอนุญาตให้สร้างเครือข่ายที่ใหญ่กว่าอีกด้วย

ลักษณะที่สำคัญอื่นๆที่แตกต่างจาก NetWare 286 คือ มันมี hardware ที่ไม่ขึ้นกับใคร หรือเป็นอิสระแตกต่างกับระบบ server ที่มาจาก 3Com โดย Novell server สามรถใช้งานร่วมกับระบบเป็นบางรุ่น เช่นกับ Intel 80286 หรือ CPU ที่ขั้นสูงกว่าหรืออาจใช้ MFM ,RLL,ESDI, หรือ SCSI hard driveและอุปกรณ์เครือข่าย 8 บิต หรือ 16 บิตอื่นๆ แต่มันมีปัญหาอยู่ก็คือการหาไดร์เวอร์ที่มีความเหมาะสม

Novell ได้ออกแบบให้มีความกะทัดรัดและโปรแกรมซอฟต์แวร์ DOS client ที่ไม่ยุ่งยากและจะอนุญาตให้ DOS station ติดต่อกับ server และการเข้าถึงการแชร์ server hard drive ถึงแม้ว่าระบบไฟล์ของ NetWare server เริ่มนำการออกแบบระบบไฟล์ขึ้นมาใหม่แต่นั้นมันมีกรรมสิทธิ์ มันปรากฏเป็นมาตรฐานซึ่งเข้ากันได้กับ DOS จนถึง Workstation และมีการรับรองการทำงานร่วมกันกับ DOS ยังคงอยู่ทั้งหมด

ยุคปีแรก

NetWare อยู่บนพื้นฐานของ consulting work โดยซอฟแวร์ SuperSet ก่อตั้งโดยกลุ่มเพื่อนๆได้แก่ Drew Major, Dale Neibaur, Kyle Powell และ Mark Hurst งานนี้มีฐานกำลังอยู่บน ห้องทำงานของพวกเขาเองที่ Brigham Young University ใน Provo, Utah เริ่มในเดือนตุลาคมในปี 1981 ในปี 1983 Raymond Noorda ยุ่งอยู่กับงานที่ทำโดยทีม SuperSet โดยทีมมีความคิดริเริ่มในการกำหนดการสร้างระบบ CP/M disk sharing เพื่อช่วยเหลือเครือข่าย CP/M hardware เช่นนั้น Novell จึงมีการจำหน่ายขณะเวลานี้ ทีมมีความลับที่ทำให้เชื่อมันว่า CP/M จะมีวาระที่จะได้ขึ้นแท่นและจะกลับขึ้นมาแทนที่กับการประสบความสำเร็จของ ระบบไฟล์แชร์ริ่งเพื่อวิธีการใหม่ IBM จะสามารถเข้ากันได้ดีกับ PC พวกเขาทำการเขียนการร้องขอด้วย application ที่เรียกว่า Snipes กลวิธี text-mode และวิธีใช้งานเพื่อทดสอบเครือข่ายใหม่และแสดงถึงประสิทธิภาพของมัน Snipes เป็น application เครือข่ายอันแรกทีมีการเขียนตลอดการใช้งานสำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และมันเป็นที่รู้จักของผู้ที่ทำงานในด้านนี้มาก่อนที่นิยมใช้ดลวิธีแบบ multiplayer เช่น Doom และ Quake เป็นต้น

Network operating system (NOS) ในภายหลังเรียกกันว่า Novell NetWare โดย NetWare อยู่บนพื้นฐานของ NetWare Core Protocol (NCP) ซึ่งเป็นโปรโตคอลแบบ packet- based จะเปิดให้เครื่องลูกทำการร้องขอเพื่อการตอบรับจาก NetWare ครั้งแรก NCP คือการจำกัดโดยตรงของโปรโตคอล IPX/SPX ซึ่งมีความมุ่งหมายตั้งแต่แรกว่า NetWare สามารถใช้ IPX/SPX เพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารเท่านั้น

ผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่ทรงไว้ในชื่อ NetWare ที่ได้ถูกปล่อยออกมาในปี 1983 มันเรียกว่าNetWare 68 (aka S-Net) มันทำงานบนโปรเซสเซอร์ Motorola 68000 และมี network topology เป็นแบบ star มันถูกแทนที่ในปี 1985 ด้วย NetWare เวอร์ชัน 1.5 ซึ่งมีการเขียนไว้สำหรับ Intel 8086 หลังจากที่โปรเซสเซอร์ Intel 8086 ได้ถูกเปิดตัวออกมาก็ได้ปล่อยผลิตภัณฑ์ NetWare 286ในปี 1986 สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกันกับการปล่อยผลิตภัณฑ์ของ Intel Novell 80386 คือ Novell ได้มีการปล่อย NetWare 386 ในปี 1989 ต่อมา Novell ได้ทำหมายเลขของ NetWare ที่ปล่อยออกมาให้ดูมั่นคงยิ่งขึ้นโดย NetWare 286 กลายเป็น NetWare 2.x และ NetWare 386 กลายเป็น NetWare 3.x


เวอร์ชันของ NetWare

NetWare 286 2.x

NetWare เวอร์ชัน 2 เป็นเวอร์ชันที่รู้จักกันไปทั่วในเรื่องความยากในการตั้งค่า หลังจากที่ระบบปฏิบัติการเตรียมการรวมกันของการตั้งค่าของ object modules ที่ต้องการตั้งค่าและเชื่อม โยง การรวมกันนั้นไม่มีความสะดวกในการโปรเซสและออกแบบเพื่อการทำงานจาก diskettes หลายๆอันซึ่งจะช้าและไม่น่าเชื่อถือ

การเปลี่ยนแปลงใดๆของระบบปฏิบัติการต้องการเริ่มการเชื่อมโยงใหม่ของ kernel และการเริ่มต้นการทำงานใหม่จะต้องมีการแลกเปลี่ยน diskettes น้อยกว่า 20 อัน NetWare เป็นการบิหารจัดการที่ใช้ text-based มาทำประโยชน์ เช่น SYSCON เป็นต้น ระบบไฟล์ที่ใช้ NetWare 2 นั้นเป็น NetWare รุ่น 286 หรือ NWFS 286 ที่สนับสนุนในระดับที่ค่อนข้างสูงคือ 256 MB โดย NetWare 286 ยอมรับ protection mode 80286 เท่านั้น และจำกัดการสนับสนุนของ RAM ที่มีขนาด 16 MB หรือต่ำกว่า โดยหน่วยความจำที่มีขนาดเล็กเป็น 2 MB ถ้ามีความต้องการเริ่มการทำงานกับระบบปฏิบัติการจะต้องใช้ RAM อื่นๆร่วมด้วยเพื่อใช้สำหรับ FAT,DET และfile cachingหลังจากที่ protection mode 16 บิต เป็นวิธีการของ i80286 และทั้งหมดที่เป็นรุ่นหลังโปรเซสเซอร์ Intel x86 และ NetWare 286 เวอร์ชัน 2.x มีการทำงานบน 80286 หรือโปรเซสเซอร์รุ่นถัดมาที่เข้ากันได้ NetWare 2 มีวิธีการในการตั้งหมายเลขให้เรียบร้อยและลักษณะเฉพาะของหมายเลขได้แรง บันดาลใจจาก mainframe และระบบ minicomputer ไม่มีความเหมาะสมที่จะใช้ในระบบปฏิบัติการอื่นๆของวันนี้ ลักษณะเฉพาะของ System Fault Tolerance (SFT) ประกอบด้วย มาตรฐาน read-after-write ตามข้อเท็จจริง (SFT- I ) กับ on-the-fly เป็นการบล็อกที่ไม่ดี (ในเวลาที่ดิสก์ไม่มีคุณลักษณะที่จะสร้างได้ ) และซอฟต์แวร์ RAID1 ( ดิสก์ที่มีผิวหน้าสะท้อนแสง SFT-II ) Transaction Tracking System (TTS) เป็นทางเลือกในการป้องกันหรือต้านไฟล์ที่ไม่สมบูรณ์ สำหรับ single file มีความต้องการคุณลักษณะของไฟล์เท่านั้นเพื่อการตั้งค่า การจัดการกับหลายๆไฟล์และการควบคุม roll-back มีความเป็นไปได้ด้วยการโปรแกรมโดย TTS API

NetWare 286 2.x สนับสนุนสองโหมดของระบบปฏิบัติการคือ dedicated และ non- dedicated โดยในโหมดของ dedicated เครื่อง server จะใช้ boot loader ในการดำเนินการระบบปฏิบัติการไฟล์ net$os.exe หน่วยความจำทั้งหมดมีการจัดสรรเพื่อ NetWare และไม่มี DOS ทำงานบน server สำหรับ non- dedicated จะเป็นระบบปฏิบัติการ DOS 3.3 หรือสูงกว่า การเริ่มต้นการทำงานจะใช้ฟลอปปี้ดิสก์ หรือ bootable DOS จาก hard drive โดยที่ DOS มีการจำกัดหน่วยความจำเพียง 640 MB เท่านั้นเนื่องด้วยไม่มีการอนุญาตการจัดการหน่วยความจำ การขยายตัวทั้งหมดของ RAM เป็นการจัดสรรเพื่อ NetWare 286 และโปรเซสเซอร์จะเป็นแบบ time-slice ระหว่าง DOS กับโปรแกรม NetWare เวลาเล็กๆมีความสบบูรณ์ในการใช้ keyboard ในการขัดจังหวะ ลักษณะเฉพาะนี้ต้องการความแน่นอนและยอมรับได้กับการออกแบบในรูปแบบ IBM PC เป็นการกระทำอย่างหนึ่งที่มีผลกระทบ สำหรับเครือข่ายเล็กๆที่มีผู้ใช้ 2-5 คน โหมด non- dedicated ใน NetWare จึงมีความนิยมมาก อย่างไรก็ตามมันเป็นมากกว่าความรู้สึกไวต่อการเปิดที่เหมาะสมถึงปัญหาของ โปรแกรม โดย NetWare 386 3.x และเวอร์ชันต่อไปเท่านั้นที่จะสนับสนุนการกระทำแบบ dedicated

NetWare 3.x

เริ่มต้นกับ NetWare 3.x สนับสนุน protection mode ขนาด 32 บิต เป็นการเพิ่มและจำกัดหน่วยความจำได้แค่ 16 Mb ของ NetWare 286 การปูทางบนเส้นทางสำหรับการสนับสนุน hard drive ที่มีขนาดใหญ่ หลังจากที่ NetWare 3.x ได้ทำสำเนาเป็นแบบ file allocation table (FAT) ทั้งหมดและ directory entry table (DET) ลงไปในหน่วยความจำสำหรับการปรับปรุงการดำเนินการ

NetWare เวอร์ชัน 3 มีความง่ายต่อการพัฒนาและการจัดการด้วย modularization แต่ละฟังก์ชันมีการควบคุมด้วยรูปแบบของซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า Netware Loadable Module (NLM) โหลดแต่ละอันเริ่มต้นการทำงานหรือเมื่อมีความต้องการ มันมีความเป็นไปได้ถึงการเพิ่มฟังก์ชัน เช่น ซอฟต์แวร์ anti-virus ,ซอฟต์แวร์สำรองข้อมูล,ฐานข้อมูลและ webserver ความยาวของชื่อสนับสนุน (มาตรฐานของชื่อไฟล์จะจำกัดเป็น 8 อักขระรวมกับ 3 ตัวอักษร ) และเข้ากันกับ MS-DOS หรือรูปแบบไฟล์แบบ Macintosh

NetWare ทำงานจัดการด้วยการใช้คุณสมบัติ console-based ระบบไฟล์ได้มีการแนะนำด้วย NetWare 3.x และใช้งานด้วยค่าเริ่มต้นจนกระทั่ง NetWare 5.x เป็น NetWare File System 386 หรือ NWFS 386 ซึ่งสิ่งสำคัญในการขยายความจุ (1 TB, 4 GB ไฟล์) และสามารถใช้ได้ถึงลำดับ 16 ระดับ การประเมินเซกเมนต์เป็นแบบมัลติฟิสิคอลดิสก์ไดรฟ์ ระดันเซกเมนต์สามารถเพิ่มเข้าไปใน server และเป็นระดับที่ตั้งไว้ อนุญาตให้ server ขยายออกจากการขัดจังหวะ

ครั้งแรก NetWare ใช้ Bindery Services เพื่อทำให้น่าเชื่อถือเป็นระบบฐานข้อมูลแบบ stand - alone ที่ไหนๆใช้การเข้าถึงและระบบความปลอดภัยของข้อมูลขึ้นอยู่กับรายบุคคลแต่ละ server เมื่อสิ่งที่เป็นโครงสร้างบรรจุมากกว่าหนึ่ง server แล้ว ผู้ใช้มีการ log-in ถึงแต่ละส่วนของพวกเขาเป็นรายบุคคลไปและแต่ละ server มีการตั้งค่ากับรายการของการอนุญาตทั้งหมดของผู้ใช้

“Netware Name Services”เป็นผลิตภัณฑ์ที่อนุญาตให้ผู้ใช้ข้อมูลมีการขยายข้อมูลได้ซึ่งตรง ข้ามกับแบบ multiple server และ Windows “Domain” มีความคิดเป็นฟังก์ชันที่เทียบเท่ากับ Netware v3.x โดย Bindery Services กับ Netware Name Services ได้เพิ่มอยู่บน (เช่นฐานข้อมูลขนาด 2 มิติกับ flat namespace และ static schema )

ชั่วขณะหนึ่ง Novell พร้อมด้วยการตลาดของ OEM เวอร์ชันของ Netware 3 ได้ถูกเรียกว่า Portable NetWare พร้อมกันกับ OEM เช่น Hewlett-Packard ,DEC และ Data ผู้ซึ่งถือโค้ด Novell เพื่อทำงานบนระดับสูงของพวกเขาเป็นระบบปฏิบัติการ UNIX และ Netware แบบเดียวกันเท่านั้นที่จะพบกับความสำเร็จที่มีขอบเขต

ในรุ่น 3.x Novell ได้แนะนำให้มันเป็นสิ่งแรกที่เหมาะที่จะใช้กับระบบ clustering โดยให้มีชื่อว่า Netware SFT-III ซึ่งอนุญาตให้ลอจิคอล server เพื่อให้ความสำเร็จของการแยกกลไกระดับฟิสิคอล วิธีการทำ shared-nothing ให้เป็นกลุ่ม ภายใต้ของ SFT-III ของ OS เป้นเหตุผลในการแบ่งการขัดจังหวะของ อินพุต/เอาต์พุต ของเครื่องและ event-driven OS core โดย อินพุต/เอาต์พุต ของเครื่องทำให้เป็นแบบอนุกรมในการขัดจังหวะ (ดิสก์ เครือข่าย เป็นต้น) ในการรวมกันของเหตูการณ์เป็นกระแสให้ความเหมือนที่น่าเบื่อในการทำสำเนาอยู่ สองอย่างเป็นของระบบเครื่องที่เร็วเกินไป (100 Mbit/s) และการเชื่อมโยง inter-server เพราะว่ามันไม่เกี่ยวกับลักษณะของ OS อินพุต/เอาต์พุต ของแบบ non- dedicated เป็นการกระทำแบบเสี่ยงดวงซึ่งเหมือนกับ finite state machine ที่มีขนาดใหญ่

เอาต์พุตของเครื่อง 2 ระบบ เป็นการเปรียบเทียบถึงการรับรองการปฏิบัติการที่เหมาะสมและทั้งสองสำเนาได้ ถูกป้อนกลับสู่อินพุต/เอาต์พุตของเครื่อง และการใช้การดำรงอยู่ของ SFT-II ซอฟต์แวร์ RAID ทำหน้าที่เสนอในแก่นแท้ ดิสก์สามารถสะท้อนระหว่าง 2 เครื่องที่ปราศจากฮาร์ดแวร์ที่มีความพิเศษทั้ง 2 เครื่องสามารถแยกออกได้ไกลพอๆกับ server-to-server ที่มีการอนุญาตให้ติดต่อกัน ในบล็อกของ server หรือดิสก์ที่ไม่สามารถทำงานได้ server ที่คงอยู่ควรจะเข้ามาแทนที่เครื่องลูก หลังจากการหยุดการทำงานที่สั้นมันมีสภาพการประชาสัมพันธ์เต็มรูปแบบและไม่ สามารถทำงานได้ตัวอย่างเช่น มีการติดอยู่ในระดับโปรเซสซึ่ง NetWare จะขึ้นชื่อในด้านความล่าช้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น SFT-III เป็น NetWare เวอร์ชันแรกที่สามารถทำให้ใช้ SMPฮาร์ดแวร์ อินพุต/เอาต์พุตของเครื่องสามารถมีคุณสมบัติทำงานบน CPU ของตัวมันเอง

NetWare SFT-III มีความเป็นอยู่ข้างหน้าของเวลาในหลายๆด้านเป็นการรวมความสำเร็จ มันควรจะมีชื่อเสียงที่มีความนำสมัยของ NetWare’s clustering โดย Novell Cluster Services (ได้แนะนำใน NetWare v5.0) มันมีความแตกต่างอย่างว่าจาก SFT-III NetWare 386 3.x เป็นการออกแบบทั้งหมดของแอปพลิเคชันบน server ที่มีระดับที่เหมือนกันของโปรเซสที่การป้องกันหน่วยความจำจะรู้จักกันใน” ring 0 ” ชั่วขณะที่จัดหาสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในการดำเนินการมันเป็นการ เสียสละที่น่าไว้วางใจ ผลลัพธ์ที่ได้มันล้มเหลวมันเป็นไปได้และผลลัพธ์ได้ยุติลงพร้อมกับระบบ เริ่มต้นกับ NetWare 5.x รูปแบบซอฟต์แวร์ (NetWare Loadable Modules หรือ NLM’s) สามารถกำหนดการทำงานในโปรเซสเซอร์ที่มีความแตกต่างในการปกป้องการติดต่อ เพื่อรับรองว่าซอฟต์แวร์ error หรือไม่และระบบจะไม่ล้มเหลว

ในการเปรียบเทียบมันช้าพอๆกับ Windows NT v4.0 ส่วนใหญ่แล้ว “best-practices” แนะนำให้อยู่ในทุกเดือนหรือทุกสัปดาห์ในการเริ่มการทำงานใหม่ที่เหมาะสมกับ ความจำที่เป็นรอยแยก

NetWare 4.x

เวอร์ชัน 4 ในปี 1993 ได้ถูกแนะนำในชื่อ Novell Directory Services (NDS) อยู่บนฐานของ X.500 ซึ่งได้เข้ามาแทนที่ Bindery กับ Directory service ทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นโครงสร้างเพื่อระบุและจัดการในทีเดียว การเพิ่ม NDS ให้ขยายตัวออกไปได้อนุญาตให้แนะนำชนิดของวัตถุใหม่และอนุญาตให้ผู้ใช้ที่น่า เชื่อถือแค่คนเดียวเพื่อดูแลการเข้าถึง server ที่พวกเขาอยู่ด้วย ถึงแม้ว่าผู้ใช้ได้รับอนุญาตให้เข้าใช้งานก็ยังคงจำกัดเพราะว่าเป็น server ส่วนบุคคล (โครงการใหญ่ๆสามารถเลือกอนุญาตให้เป็นรูปแบบพื้นฐานของพวกเขาและไม่จำกัด ผู้ใช้ต่อ server ถ้าพวกเขาอนุญาตให้ Novell ทำบัญชีจำนวนผู้เข้าใช้ทั้งหมด )

เวอร์ชัน 4 ได้ถูกแนะนำว่าเป็นหมายเลขเครื่องมือในการใช้ประโยชน์และลักษณะเฉพาะเช่นการ บีบอัดที่เข้าใจง่ายที่ระดุบระบบไฟล์และ RSA เป็นทั้ง public/private นอกจากนี้มีลักษณะเฉพาะแบบใหม่เป็น NetWare Asynchronous Services Interface (NASI) มันอนุญาตให้เครือข่ายแชร์อุปกรณ์หลายๆอย่าง เช่น โมเด็ม เป็นต้น และเครื่องลูกเปลี่ยนพอร์ตใหม่ให้เกิดขึ้นโดยทาง MS-DOS หรือ Microsoft Windows ที่อนุญาตให้บริษัททำให้โมเด็มมีความแข็งแรงและใช้สายโทรศัพท์แบบอนาล็อก

NetWare 5.x

กับการปล่อย NetWare 5 ในเดือนตุลาคมปี 1998 สุดท้าย Novell ก็ได้ยอมรับการโผล่ออกมาของอินเทอร์เน็ตโดยการสวิทชิ่งมันเป็นอินเตอร์เฟส NCP แบบปฐมภูมิจาก IPX/SPX เครือ ข่ายโปรโตคอล TCP/IP แต่ยังคงสนับสนุน IPX/SPX อยู่แล้วเปลี่ยนมาเป็นความสำคัญถึง TCP/IP เช่นเดียวกันแล้ว Novell ได้เป็น GUI ให้กับ NetWare โดยมีลักษณะเฉพาะใหม่แบบอื่นๆด้วย

  • Novell Storage Services (NSS) เป็นระบบไฟล์ใหม่ที่เข้ามาแทนที่ NetWare File System ซึ่งยังคงสนับสนุนอยู่
  • มี Java virtual machine สำหรับ NetWare
  • มี Novell Distributed Print Services
  • การบริหารเป็นแบบใหม่โดยใช้ Java – based GUI
  • Directory-enabled ใช้งานแบบ Public key infrastructure services (PKIS)
  • Directory-enabled เป็นทั้ง DNS และ DHCP server
  • สนับสนุนสำหรับ Storage Area Networks (SANs)
  • มี Novell Cluster Services
  • มี Oracle 8i กับการอนุญาตให้มีผู้ใช้ได้ 5 user

กลุ่มบริการส่วนใหญ่เป็นมากกว่า SFT-III ตามที่ NCS ไม่ต้องการความเชี่ยวชาญด้านฮาร์ดแวร์หรือการตั้งค่า server ที่เหมือนกัน NetWare 5 ได้ถูกปล่อยออกมาระหว่างที่การตลาดของ NetWare หยุดนิ่ง หลายบริษัทและองค์กรต่างๆมีการแทนที่ NetWare server ที่กำลังทำงานกับระบบปฏิบัติการ Microsoft’s Windows NT เช่นนั้นแล้ว Novell ได้ปล่อย NetWare ที่มีการอัพเกรดล่าสุดถึงระบบปฏิบัติการ NetWare 4 , NetWare 4.2

NetWare 5.1 ได้ถูกปล่อยออกมาในเดือนมกราคมปี 2000 เป็นเวลาสั้นๆจากผลิตภัณฑ์ตัวก่อนมันได้เข้าสู่ประโยชน์ของเครื่องมือ เช่น

  • มี IBM WebSphere Application Server
  • มี NetWare Management Portal (ต่อมาเปลี่ยนเป็นชื่อ Novell Remote Manager) เป็นการจัดการ web server ของระบบปฏิบัติการ
  • มี FTP,NNTP และ streaming media server
  • มี NetWare Web Search Server
  • มีการสนับสนุน WebDAV

NetWare 6.0

NetWare 6 ได้ถูกปล่อยออกมาในเดือนตุลาคมปี 2001 เป็นเวอร์ชันที่มีการอนุญาตทำแผนผังพื้นฐานของผู้ใช้ให้ง่ายขึ้นโดยไม่ใช้ server และได้ลดต้นทุนของกรรมสิทธิ์ลงและอนุญาตให้การติดต่อแบบไม่จำกัดต่อผู้ใช้ การเลี่ยนแปลงอื่นๆคือมีลักษณะเฉพาะและการแก้ไขรวมไว้ในที่นี้

  • เพิ่ม SMP เพื่อสนับสนุนโปรเซสเซอร์ขนาด 32 บิต ต่อ server
  • มี iFolder – location และรูปแบบที่เป็นตัวของตัวเองการเข้าถึงไฟล์แบบ local โดยอัตโนมัติอย่างชาญฉลาดของ local iFolder Directory กับ Directory server
  • มี NetStorage การเข้าถึงไฟล์ส่วนบุคคลผ่าน web server
  • iPrint ความสามารถในการติดตั้งปริ๊นเตอร์จาก web server รองรับการพิมพ์งานมากกว่าการพิมพ์ผ่านอินเทอร์เน็ตด้วยโปรโตคอล IPP
  • iManager การบริหาร web-based สำหรับ NetWare และผลิตภัณฑ์ Novell อื่นๆ
  • มี Apache web server และ Jakarta Tomcat รวมอยู่ด้วย
  • แต่แรกแล้วโปรโตคอลเข้าถึงไฟล์สนับสนุนสำหรับ SMB, AFP และโปรโตคอล NFS จนถึง Windows, Macintosh และ Unix/Linux กับการเข้าถึงไฟล์บน NetWare server โดยปราศจากเครื่องลูก

NetWare 6.5

NetWare 6.5 ได้ถูกปล่อยออกมาในเดือนสิงหาคมปี 2003 บางอย่างของลักษณะเฉพาะในเวอร์ชันนี้คือ

  • เป็นมากกว่าผลิตภัณฑ์ open -source เช่น PHP, MySQL และ OpenSSH
  • พอร์ตของ Bash shell และได้สืบทอดมาจากประโยชน์ของ Unix เช่น wget, grep, awk และ sed เพื่อเพิ่มความสามารถสำหรับการเขียนต้นร่าง
  • สนับสนุน iSCSI (ทั้งคู่มีจุดมุ่งหมายและการริเริ่มเดียวกัน)
  • แก่นแท้ขององค์กรคือ “out of the box” ทางเข้าเว็บสำหรับการเตรียมการเข้าถึงอีเมล์ของผู้ใช้ ที่เก็บไฟล์ส่วนบุคคล สมุดที่อยู่ของบริษัท
  • มีหน้าที่เกี่ยวกับ Domain controller
  • มี Password เป็นสากล
  • มี DirXML Starter Pack เข้ารหัสของผู้ใช้งานกับอย่างอื่นคือ eDirectory tree,Windows NT Domain หรือ Active Directory
  • มี extend Application Server – a J2EE 1.3 ซึ่งเข้ากันได้กับ Application server
  • สนับสนุนสำหรับ customized printer driver profile และ วิธีการใช้ปริ๊นเตอร์
  • สนับสนุน NX bit
  • สนับสนุนสำหรับอุปกรณ์ต่อพวงแบบ USB
  • สนับสนุนสำหรับระดับการเข้ารหัส

FreeBSD

FreeBSD (ฟรีบีเอสดี) คือซอฟต์แวร์เสรีซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่เหมือนยูนิกซ์ (Unix-like) สืบทอดมาจาก AT&T UNIX ผ่านทางสายของ Berkeley Software Distribution (BSD) คือ 386BSD และ 4.4BSD. FreeBSD รองรับการทำงานบนCPUตระกูลหลักๆ หลายตระกูลด้วยกัน. นอกจากตระกูล X86 ของ Intel ที่ใช้กันอย่างกว้างขวาแล้วยังมี DEC Alpha, UltraSPARC ของ Sun Microsystems, Itanium (IA-64) , AMD64 และ PowerPC. ส่วนของตระกูลรองได้แก่คอมพิวแตอร์สถาปัตยกรรมแบบ PC-98. การรองรับสำหรับตระกูล ARM และ MIPS กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา. จุดเด่นที่สำคัญของ FreeBSD คือประสิทธิภาพและสเถียรภาพ. โลโก้ดั้งเดิมและตัวมาสคอตของโครงการ FreeBSD คือตัวดีม่อนสีแดงนั้นมี มาร์แชล เคิร์ก แมคคูสิก (Marshall Kirk McKusick) เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์

การพัฒนาFreeBSDเป็นแบบเบ็ดเสร็จทั้งระบบปฏิบัติการ กล่าวคือทั้งเคอร์เนล, ยูเซอร์แลนด์ยูทิลิตี้เช่น เชลล์, และ ดีไวซ์ไดรเวอร์ อยู่ในทรีของระบบควบคุมเวอร์ชันของซอร์สโค้ด (CVS) เดียวกัน. ซึ่งแตกต่างจากLinuxที่มีการพัฒนาเฉพาะส่วนของเคอร์เนลโดยบุคคลกลุ่มหนึ่ง ส่วนของยูเซอร์แลนด์ยูทิลิตี้พัฒนาโดยกลุ่มอื่นๆเช่น กลุ่มในโครงการของGNU และนำมารวมเข้าด้วยกันกับโปรแกรมประยุกต์กลายเป็นดิสทริบิวท์ชั่นซึ่งนำมาเผยแพร่ให้ผู้ใช้ได้ใช้กัน.

FreeBSD ได้รับการยกย่องว่าเป็นระบบปฏิบัติการที่มีชื่อเสียงทางด้านเสถียรภาพและ ความอึด (แต่ไม่อืด) จึงเป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้รันเซิฟเวอร์อย่างแพร่หลาย ข้อยืนยันนี้ดูได้จากรายงานอัพไทม์ (uptime เวลาจากการรีบูทครั้งล่าสุด). ในรายการ 50 อันดับของเว็บเซิฟเวอร์ที่มีอัพไทม์นานที่สุดก็มีFreeBSD และBSD/OS ปรากฏอยู่เป็นจำนวนมาก[1]. สิ่งนี้เป็นตัวบ่งบอกถึงความมั่นคงของFreeBSDว่าตลอดเวลาการปฏิบัติงานอัน ยาวนานนี้นอกจากจะไม่มีการแครชแล้ว ยังไม่มีจำเป็นต้องมีการอัปเดตเคอร์เนลแต่อย่างใด (หลังจากอัพเกรดเคอร์เนลจำเป็นต้องรีบูท)

แมคโอเอส (Mac OS)

แมคโอเอส (Mac OS) เป็นระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์แมคอินทอช โดยทั้งคู่เป็นผลิตภัณฑ์ของบรรษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์. แมคโอเอสเป็นระบบปฏิบัติการที่มีส่วนต่อประสานกับผู้ใช้แบบกราฟิก (GUI) รายแรกที่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์รุ่นแรกๆ ของระบบปฏิบัติการนี้ ไม่ได้ใช้ชื่อแมคโอเอส, อันที่จริงระบบปฏิบัติการนี้ในรุ่นแรกๆ ยังไม่มีชื่อเรียกด้วยซ้ำทีมพัฒนาแมคโอเอสประกอบด้วย บิลล์ แอตคินสัน, เจฟ รัสกิน, แอนดี เฮิตซ์เฟลด์ และคนอื่นๆแมคโอเอสเป็นระบบปฏิบัติการที่นิยมเป็นอันดับสองรองจาก วินโดวส์

แมคโอเอสรุ่นต่างๆ

แรกสุดนั้นแมคโอเอสถูกเรียกว่า ซิสเต็ม (System) และเปลี่ยนมาใช้คำว่า แมคโอเอส ครั้งแรกใน แมคโอเอส 7.5 (ค.ศ. 1996) เนื่องจากเครื่องแมคเลียนแบบที่แพร่หลายในยุคนั้น ทำให้แอปเปิลต้องการแสดงว่าแมคยังเป็นลิขสิทธิ์ของตนอยู่

แมคโอเอสสามารถแบ่งได้เป็นสองยุค คือ

  • Classic นับตั้งแต่แมคโอเอสตัวแรกสุด จนถึงแมคโอเอส 9
  • แมคโอเอสเท็น (Mac OS X) ใช้แกนกลางที่พัฒนามาจากยูนิกซ์ ตระกูลบีเอสดี โดยปัจจุบันนั้นแมคโอเอสเท็นได้ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อนำมาใช้งานได้บน คอมพิวเตอร์แมคอินทอชรุ่นใหม่ ที่ได้ใช้หน่วยประมวลระบบสถาปัตยกรรม x86 Intel แล้ว แต่ยังสามารถที่จะใช้งานได้เฉพาะคอมพิวเตอร์จากแมคอินทอชเท่านั้น

แมคโอเอสเท็น

ดูรายละเอียดในหัวข้อ แมคโอเอสเท็น และ Mac OS X v10.5

เทคโนโลยีที่ใช้ในแมคโอเอส

  • QuickDraw: the imaging model which first provided mass-market WYSIWYG
  • Finder: the interface for browsing the filesystem and launching applications
  • MultiFinder: the first version to support simultaneously running multiple apps
  • Chooser: tool for accessing network resources (e.g., enabling AppleTalk)
  • ColorSync: technology for ensuring appropriate color matching
  • Mac OS memory management: how the Mac managed แรม and virtual memory before the switch to ยูนิกซ์
  • PowerPC emulation of Motorola 68000: how the Mac handled the architectural transition from CISC to RISC (see Mac 68K emulator)
  • Desk Accessories: small "helper" apps that could be run concurrently with any other app, prior to the advent of MultiFinder or System 7.
  • PlainTalk: speech synthesis and speech recognition technology
  • Mac-Roman : Character set